- HOME หน้าหลัก
- URBAN LIFEข่าวสารอสังหาริมทรัพย์
- ดอกเบี้ยขาขึ้น ผ่อนบ้าน คอนโด ไม่ไหว ทำยังไงได้บ้าง?

ดอกเบี้ยขาขึ้น ผ่อนบ้าน คอนโด ไม่ไหว ทำยังไงได้บ้าง?
ดอกเบี้ยขาขึ้น ผ่อนบ้าน คอนโด ไม่ไหว ทำยังไงได้บ้าง?
07 ธันวาคม 2566
Share
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไม่ไหว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการค้างชำระจนถูกยึดทรัพย์สิน
ควรเปิดใจเข้าปรึกษากับธนาคารโดยตรงเจรจาขอประนอมหนี้กับธนาคารมีแนวทางไหนได้บ้าง ?

1ขอธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงจากอัตราปกติ ซึ่งในกรณีนี้ ธนาคารมักจะอนุมัติให้กับผู้กู้ที่มีประวัติการผ่อนชำระที่ดีหรือไม่เคยขาดผ่อนชำระ แนะนำให้ผู้กู้เข้าปรึกษากับธนาคารโดยตรงและแจกแจงปัญหาของผู้กู้ เช่น รายได้ลดลงหรือมีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้น
(ทั้งนี้ ธนาคารจะลดอัตราดอกเบี้ยให้ภายใต้เงื่อนไขของธนาคาร)
อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ อาจเรียกว่าการขอ Retention หรือการขอลดอัตราดอกเบี้ย หากผ่อนชำระเกิน 3 ปี แล้วอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น หรือผู้กู้อาจจะพิจารณาเลือกวิธีขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นก็สามารถทำได้
2. ยืดเวลาชำระหนี้ให้นานขึ้น
เข้าปรึกษาและขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กับธนาคาร ยกตัวอย่างเช่น เดิมตกลงชำระผ่อนบ้านที่ 20 ปี อาจเจรจาขอขยายระยะเวลาผ่อนบ้านไปอีก 5 – 10 ปี เพื่อให้อัตราผ่อนชำระต่อเดือนลดลง จากนั้นในภายหลังเมื่อสถานการณ์การเงินดีขึ้น อาจนำเงินก้อนมาโปะเพื่อปิดหนี้ได้เร็วขึ้น
(เงื่อนไขที่ธนาคารจะพิจารณาขึ้นอยู่กับธนาคารกำหนด)
3. ขอผ่อนชำระต่ำกว่างวดปกติ
วิธีนี้จะทำได้ในกรณีที่ยอดชำระต่อเดือนสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท และสามารถขอผ่อนชำระต่ำกว่างวดปกติได้ครั้งเดียว โดยระยะเวลาที่ผ่อนชำระต่ำกว่าปกติจะต้องไม่เกิน 2 ปี
วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่ยังคงมีรายได้ประจำ แต่รายได้ลดลงหรือมีรายได้เท่าเดิมแต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะยังคงต้องผ่อนชำระในทุกเดือน เพียงแต่ว่าภาระผ่อนในแต่ละเดือนลดลงเท่านั้น โดยธนาคารจะพิจารณาให้ทำวิธีนี้สำหรับผู้กู้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดีเท่านั้น
เมื่อผู้กู้ทราบแล้วว่า หารายได้ได้น้อยลงหรือมีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น แนะนำให้เข้าไปปรึกษากับธนาคารเพื่อขอชำระค่าผ่อนที่ต่ำกว่าปกติทันที โดยที่ยังไม่มีประวัติการค้างชำระหนี้
ที่ทำให้หลายธุรกิจสะดุด เศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารจึงออกมาตรการผ่อนผันให้กับผู้ที่ขาดแคลนรายได้ และในระหว่างพักชำระหนี้ ธนาคารก็จะไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
4. ขอโอนบ้านให้เป็นของธนาคารชั่วคราวและขอเช่าอยู่
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดรายได้ประจำและคาดว่าจะไม่สามารถหารายได้มาผ่อนชำระคืนได้ภายใน 1 ปี แนะนำให้ขอประนอมหนี้กับธนาคารโดยการขอโอนบ้านให้เป็นของธนาคาร
วิธีการนี้ จะคล้ายกับการขายฝากแล้วเช่าบ้านของตัวเองอยู่ ซึ่งค่าเช่าสินทรัพย์จะอยู่ที่ราว 0.4% – 0.6% ของมูลค่าทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น บ้านราคา 2,000,000 บาท ค่าเช่าจะอยู่ที่ 8,000 บาท – 12,000 บาท
(โดยปกติแล้วจะตำ่กว่าหนี้เดิมที่ต้องผ่อน) และมักทำสัญญาเช่าเป็นรายปี ในกรณีจำนวนหนี้สูงกว่าราคาประเมินของหลักทรัพย์ ผู้กู้จำเป็นต้องชำระส่วนต่างภายในวันโอน
ทั้งนี้ ผู้กู้ที่จะใช้วิธีนี้แก้ปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว จะต้องมีคุณสมบัติและความพร้อม ดังนี้
- มีเงินก้อนมากพอสำหรับชำระส่วนต่างระหว่างหนี้และราคาประเมินทรัพย์
- ยังมีกำลังเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าให้กับธนาคาร
5.ขอรีไฟแนนซ์
ที่จริงอยากเอาวิธีนี้ไปไว้ข้อแรก แต่เผื่อหลายท่านที่ยังอยู่ในเงื่อนไขยังไม่สามารถขอ "รีไฟแนนซ์" ได้ แต่หากใครครบกำหนด "รีไฟแนนซ์" รีบดำเนินการด่วนเลยเป็นอีกหนทางหนึ่ง สำหรับผู้ที่ผ่อนบ้านไม่ไหว แต่ผ่อนบ้านมาได้อย่างน้อย 3 ปี เรียกว่า อาจโชคดีหน่อย เพราะสามารถ
รีไฟแนนซ์ หรือย้ายสินเชื่อบ้านไปอีกธนาคารหนึ่งโดยไม่โดนเบี้ยปรับ
โดยทั่วไปการรีไฟแนนซ์มักได้รับโปรโมชันดอกเบี้ยถูกจากธนาคารใหม่ หรืออายุยังไม่มาก สามารถขยายเวลาผ่อนชำระออกไป ซึ่งช่วยให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง
อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์ก็มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้กู้บ้านต้องเตรียมเงินก้อนไว้ด้วย เช่น ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าประเมินบ้านที่เป็นหลักประกัน ซึ่งต้องเปรียบเทียบดูว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะคุ้มกับดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาเลือกใช้วิธีประนอมหนี้ธนาคารที่คิดว่าน่าจะสามารถทำได้จริง เพราะการประนอมหนี้บ้านแล้วจ่ายไม่ไหวจะยิ่งทำให้มีโอกาสบ้านหรือคอนโดหลุดได้ ที่สำคัญ ยิ่งเริ่มการประนอมหนี้ได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดี
ขอบคุณที่มาข้อมูล : https://blog.ghbank.co.th/10-things-if-you-can-not-pay-off/
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้ผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไม่ไหว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการค้างชำระจนถูกยึดทรัพย์สิน
ควรเปิดใจเข้าปรึกษากับธนาคารโดยตรงเจรจาขอประนอมหนี้กับธนาคารมีแนวทางไหนได้บ้าง ?

1ขอธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ลดลงจากอัตราปกติ ซึ่งในกรณีนี้ ธนาคารมักจะอนุมัติให้กับผู้กู้ที่มีประวัติการผ่อนชำระที่ดีหรือไม่เคยขาดผ่อนชำระ แนะนำให้ผู้กู้เข้าปรึกษากับธนาคารโดยตรงและแจกแจงปัญหาของผู้กู้ เช่น รายได้ลดลงหรือมีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้น
(ทั้งนี้ ธนาคารจะลดอัตราดอกเบี้ยให้ภายใต้เงื่อนไขของธนาคาร)
อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ อาจเรียกว่าการขอ Retention หรือการขอลดอัตราดอกเบี้ย หากผ่อนชำระเกิน 3 ปี แล้วอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น หรือผู้กู้อาจจะพิจารณาเลือกวิธีขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นก็สามารถทำได้
2. ยืดเวลาชำระหนี้ให้นานขึ้น
เข้าปรึกษาและขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กับธนาคาร ยกตัวอย่างเช่น เดิมตกลงชำระผ่อนบ้านที่ 20 ปี อาจเจรจาขอขยายระยะเวลาผ่อนบ้านไปอีก 5 – 10 ปี เพื่อให้อัตราผ่อนชำระต่อเดือนลดลง จากนั้นในภายหลังเมื่อสถานการณ์การเงินดีขึ้น อาจนำเงินก้อนมาโปะเพื่อปิดหนี้ได้เร็วขึ้น
(เงื่อนไขที่ธนาคารจะพิจารณาขึ้นอยู่กับธนาคารกำหนด)
3. ขอผ่อนชำระต่ำกว่างวดปกติ
วิธีนี้จะทำได้ในกรณีที่ยอดชำระต่อเดือนสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท และสามารถขอผ่อนชำระต่ำกว่างวดปกติได้ครั้งเดียว โดยระยะเวลาที่ผ่อนชำระต่ำกว่าปกติจะต้องไม่เกิน 2 ปี
วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับผู้ที่ยังคงมีรายได้ประจำ แต่รายได้ลดลงหรือมีรายได้เท่าเดิมแต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะยังคงต้องผ่อนชำระในทุกเดือน เพียงแต่ว่าภาระผ่อนในแต่ละเดือนลดลงเท่านั้น โดยธนาคารจะพิจารณาให้ทำวิธีนี้สำหรับผู้กู้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดีเท่านั้น
เมื่อผู้กู้ทราบแล้วว่า หารายได้ได้น้อยลงหรือมีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น แนะนำให้เข้าไปปรึกษากับธนาคารเพื่อขอชำระค่าผ่อนที่ต่ำกว่าปกติทันที โดยที่ยังไม่มีประวัติการค้างชำระหนี้
ที่ทำให้หลายธุรกิจสะดุด เศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารจึงออกมาตรการผ่อนผันให้กับผู้ที่ขาดแคลนรายได้ และในระหว่างพักชำระหนี้ ธนาคารก็จะไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
4. ขอโอนบ้านให้เป็นของธนาคารชั่วคราวและขอเช่าอยู่
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดรายได้ประจำและคาดว่าจะไม่สามารถหารายได้มาผ่อนชำระคืนได้ภายใน 1 ปี แนะนำให้ขอประนอมหนี้กับธนาคารโดยการขอโอนบ้านให้เป็นของธนาคาร
วิธีการนี้ จะคล้ายกับการขายฝากแล้วเช่าบ้านของตัวเองอยู่ ซึ่งค่าเช่าสินทรัพย์จะอยู่ที่ราว 0.4% – 0.6% ของมูลค่าทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น บ้านราคา 2,000,000 บาท ค่าเช่าจะอยู่ที่ 8,000 บาท – 12,000 บาท
(โดยปกติแล้วจะตำ่กว่าหนี้เดิมที่ต้องผ่อน) และมักทำสัญญาเช่าเป็นรายปี ในกรณีจำนวนหนี้สูงกว่าราคาประเมินของหลักทรัพย์ ผู้กู้จำเป็นต้องชำระส่วนต่างภายในวันโอน
ทั้งนี้ ผู้กู้ที่จะใช้วิธีนี้แก้ปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหว จะต้องมีคุณสมบัติและความพร้อม ดังนี้
- มีเงินก้อนมากพอสำหรับชำระส่วนต่างระหว่างหนี้และราคาประเมินทรัพย์
- ยังมีกำลังเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าให้กับธนาคาร
5.ขอรีไฟแนนซ์
ที่จริงอยากเอาวิธีนี้ไปไว้ข้อแรก แต่เผื่อหลายท่านที่ยังอยู่ในเงื่อนไขยังไม่สามารถขอ "รีไฟแนนซ์" ได้ แต่หากใครครบกำหนด "รีไฟแนนซ์" รีบดำเนินการด่วนเลยเป็นอีกหนทางหนึ่ง สำหรับผู้ที่ผ่อนบ้านไม่ไหว แต่ผ่อนบ้านมาได้อย่างน้อย 3 ปี เรียกว่า อาจโชคดีหน่อย เพราะสามารถ
รีไฟแนนซ์ หรือย้ายสินเชื่อบ้านไปอีกธนาคารหนึ่งโดยไม่โดนเบี้ยปรับ
โดยทั่วไปการรีไฟแนนซ์มักได้รับโปรโมชันดอกเบี้ยถูกจากธนาคารใหม่ หรืออายุยังไม่มาก สามารถขยายเวลาผ่อนชำระออกไป ซึ่งช่วยให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง
อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์ก็มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้กู้บ้านต้องเตรียมเงินก้อนไว้ด้วย เช่น ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าประเมินบ้านที่เป็นหลักประกัน ซึ่งต้องเปรียบเทียบดูว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะคุ้มกับดอกเบี้ยที่ปรับลดลงไปหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาเลือกใช้วิธีประนอมหนี้ธนาคารที่คิดว่าน่าจะสามารถทำได้จริง เพราะการประนอมหนี้บ้านแล้วจ่ายไม่ไหวจะยิ่งทำให้มีโอกาสบ้านหรือคอนโดหลุดได้ ที่สำคัญ ยิ่งเริ่มการประนอมหนี้ได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดี
ขอบคุณที่มาข้อมูล : https://blog.ghbank.co.th/10-things-if-you-can-not-pay-off/