ซื้อคอนโดหลังแรกในชีวิต ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขอคำแนะนำหน่อยครับ?
ซื้อคอนโดหลังแรกในชีวิต ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขอคำแนะนำหน่อยครับ?
ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเริ่มลงทุนหรือการมีอสังหาฯ เป็นของตัวเองนะครับ ขั้นแรกเลยคุณจะต้องเล็งทำเลก่อนว่าสนใจแถวไหน ด้วยการคำนวณจากงบประมาณ การเดินทาง ซึ่งขอแนะนำว่าควรเลือกที่ใกล้ BTS หรือ MRT ซะหน่อยก็จะสะดวกและปล่อยขายต่อง่ายครับ ต่อมาให้ลองเดินไปดูถึงที่เลยว่าถูกใจหรือไม่เมื่อได้แล้ว ก็จะเริ่มทำการจอง โดยส่วนใหญ่ค่าจองจะอยู่ที่ 5,000 - 50,000 บาทครับ และก็ต้องทำสัญญาซื้อขาย ในส่วนของการจ่ายเงินก็สามารถผ่อนจ่ายหรือเงินสดได้ตามสะดวกเลย ขอแนะนำว่าโครงการแต่ละโครงการมักมีโปรโมชันอยู่อย่าลืมสอบถามก่อนเลือกซื้อกันนะครับ
1.ต้องเลือกทำเลก่อนว่าสนใจแถวไหน จากนั้นจึงพิจารณาจากปัจจัยสำคัญอื่นๆ เช่น งบประมาณ แบรนด์ ลักษณะห้องเพื่อการใช้งาน (อยู่กี่คนต้องการห้องเล็กหรือใหญ่) และบริการหลังการขายครับ
2.แนะนำว่าควรเลือกคอนโดติดรถไฟฟ้าหรือ MRT เพราะว่าจะสะดวกต่อการทำงานและสามารถปล่อยขายต่อได้ง่ายครับ (หากกังวลว่าขายไม่ได้สามารถฝากทางบริษัทตัวแทนอย่าง The Agent ขายได้เช่นกัน โดยกรณีที่ขายได้ทางบริษัทตัวแทนจะคิดค่านายหน้าที่ 3% จากราคาที่ขายได้)
3.ถ้าโครงการที่คิดว่าใช่ และยังขายไม่หมดก็เดินเข้าไปสอบถามในโครงการได้เลยครับ ทางแต่ละโครงการจะมีพนักงานขายไว้บริการอยู่แล้ว
4.เลือกชั้นที่ชอบ และ unit lay out ที่ชอบมากที่สุดครับ โดยแนะนำว่าไม่ควรเลือกชั้นล่างสุดหรือชั้นที่ติดกับส่วนกลางมากจนเกินไปเพราะจะเกิดมลภาวะรบกวน
5.เมื่อเลือกเเล้ว ทางโครงการจะมีให้จอง (ส่วนใหญ่แล้วค่าจองจะอยู่ที่ 5,000 - 50,000 บาทแล้วแต่มูลค่าของแต่ละโครงการ) และอาจจะมาทำสัญญาภายใน 7 วัน (ค่าทำสัญญาจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 - 100,000 บาท แล้วแต่มูลค่าของโครงการ) บางโครงการอาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนที่จองพร้อมทำสัญญาครับ
6.หากโครงการนั้นกำลังก่อสร้างอยู่ จะต้องทำการผ่อนดาวน์ในแต่ละเดือน (ค่าผ่อนดาวน์รวมค่าจองและทำสัญญามักจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10% ของมูลค่าห้องครับ เช่น ห้องราคา 3 ล้าน ค่าผ่อนดาวน์ + จอง + สัญญาต้องรวมกันอย่างน้อย 300,000 บาทครับ)
7.หากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมโอน เมือทำจองกับสัญญาแล้วก็ไม่ต้องผ่อนดาวน์ครับ ไปกู้แบงค์ส่วนที่เหลือ หรือเลือกจ่ายเงินสดได้เลยครับ
8.บางโครงการที่ชอบมากๆและสร้างเสร็จแล้ว แต่ห้องขายหมดก็จำเป็นต้องเลือกห้องรีเซลครับ ราคาอาจจะเเพงกว่านิดหน่อย หรืออาจจะถูกกว่า(ในกรณีที่เจ้าของห้องไม่พร้อมที่จะโอนก็อาจจะขายขาดทุนครับ)
9.ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน ประกอบด้วย (บางโครงการจะมีโปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่ายครับ) ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% (แบ่งครึ่งกันระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้ซื้อ) ค่าส่วนกลางรายเดือนที่ชำระครั้งแรก 2 ปี (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากัน) ค่า Sinking Fund (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากันและเก็บแค่ครั้งเดียวครับ) ค่าพื้นที่ลด หรือเพิ่ม (บางแห่งอาจจะมีคิดเงินค่าพื้นที่เพิ่มในกรณีที่ห้องเราได้เนื้อที่เกินมาครับ)
10.ในกรณีกู้แบงค์จะต้องเสียค่าจดจำนอง 1% (แต่เดี๋ยวนี้ทางแบงค์มีโปรโมชั่นมักจะฟรีครับ)
11.ตรวจห้องเพื่อหา Defect ของห้อง และแจ้งโครงการให้มาแก้ไข เพื่อทำการโอนครับ
1.ต้องเลือกทำเลก่อนว่าสนใจแถวไหน จากนั้นจึงพิจารณาจากปัจจัยสำคัญอื่นๆ เช่น งบประมาณ แบรนด์ ลักษณะห้องเพื่อการใช้งาน (อยู่กี่คนต้องการห้องเล็กหรือใหญ่) และบริการหลังการขายครับ
2.แนะนำว่าควรเลือกคอนโดติดรถไฟฟ้าหรือ MRT เพราะว่าจะสะดวกต่อการทำงานและสามารถปล่อยขายต่อได้ง่ายครับ (หากกังวลว่าขายไม่ได้สามารถฝากทางบริษัทตัวแทนอย่าง The Agent ขายได้เช่นกัน โดยกรณีที่ขายได้ทางบริษัทตัวแทนจะคิดค่านายหน้าที่ 3% จากราคาที่ขายได้)
3.ถ้าโครงการที่คิดว่าใช่ และยังขายไม่หมดก็เดินเข้าไปสอบถามในโครงการได้เลยครับ ทางแต่ละโครงการจะมีพนักงานขายไว้บริการอยู่แล้ว
4.เลือกชั้นที่ชอบ และ unit lay out ที่ชอบมากที่สุดครับ โดยแนะนำว่าไม่ควรเลือกชั้นล่างสุดหรือชั้นที่ติดกับส่วนกลางมากจนเกินไปเพราะจะเกิดมลภาวะรบกวน
5.เมื่อเลือกเเล้ว ทางโครงการจะมีให้จอง (ส่วนใหญ่แล้วค่าจองจะอยู่ที่ 5,000 - 50,000 บาทแล้วแต่มูลค่าของแต่ละโครงการ) และอาจจะมาทำสัญญาภายใน 7 วัน (ค่าทำสัญญาจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 - 100,000 บาท แล้วแต่มูลค่าของโครงการ) บางโครงการอาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนที่จองพร้อมทำสัญญาครับ
6.หากโครงการนั้นกำลังก่อสร้างอยู่ จะต้องทำการผ่อนดาวน์ในแต่ละเดือน (ค่าผ่อนดาวน์รวมค่าจองและทำสัญญามักจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10% ของมูลค่าห้องครับ เช่น ห้องราคา 3 ล้าน ค่าผ่อนดาวน์ + จอง + สัญญาต้องรวมกันอย่างน้อย 300,000 บาทครับ)
7.หากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมโอน เมือทำจองกับสัญญาแล้วก็ไม่ต้องผ่อนดาวน์ครับ ไปกู้แบงค์ส่วนที่เหลือ หรือเลือกจ่ายเงินสดได้เลยครับ
8.บางโครงการที่ชอบมากๆและสร้างเสร็จแล้ว แต่ห้องขายหมดก็จำเป็นต้องเลือกห้องรีเซลครับ ราคาอาจจะเเพงกว่านิดหน่อย หรืออาจจะถูกกว่า(ในกรณีที่เจ้าของห้องไม่พร้อมที่จะโอนก็อาจจะขายขาดทุนครับ)
9.ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน ประกอบด้วย (บางโครงการจะมีโปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่ายครับ) ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% (แบ่งครึ่งกันระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้ซื้อ) ค่าส่วนกลางรายเดือนที่ชำระครั้งแรก 2 ปี (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากัน) ค่า Sinking Fund (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากันและเก็บแค่ครั้งเดียวครับ) ค่าพื้นที่ลด หรือเพิ่ม (บางแห่งอาจจะมีคิดเงินค่าพื้นที่เพิ่มในกรณีที่ห้องเราได้เนื้อที่เกินมาครับ)
10.ในกรณีกู้แบงค์จะต้องเสียค่าจดจำนอง 1% (แต่เดี๋ยวนี้ทางแบงค์มีโปรโมชั่นมักจะฟรีครับ)
11.ตรวจห้องเพื่อหา Defect ของห้อง และแจ้งโครงการให้มาแก้ไข เพื่อทำการโอนครับ
ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเริ่มลงทุนหรือการมีอสังหาฯ เป็นของตัวเองนะครับ ขั้นแรกเลยคุณจะต้องเล็งทำเลก่อนว่าสนใจแถวไหน ด้วยการคำนวณจากงบประมาณ การเดินทาง ซึ่งขอแนะนำว่าควรเลือกที่ใกล้ BTS หรือ MRT ซะหน่อยก็จะสะดวกและปล่อยขายต่อง่ายครับ ต่อมาให้ลองเดินไปดูถึงที่เลยว่าถูกใจหรือไม่เมื่อได้แล้ว ก็จะเริ่มทำการจอง โดยส่วนใหญ่ค่าจองจะอยู่ที่ 5,000 - 50,000 บาทครับ และก็ต้องทำสัญญาซื้อขาย ในส่วนของการจ่ายเงินก็สามารถผ่อนจ่ายหรือเงินสดได้ตามสะดวกเลย ขอแนะนำว่าโครงการแต่ละโครงการมักมีโปรโมชันอยู่อย่าลืมสอบถามก่อนเลือกซื้อกันนะครับ
1.ต้องเลือกทำเลก่อนว่าสนใจแถวไหน จากนั้นจึงพิจารณาจากปัจจัยสำคัญอื่นๆ เช่น งบประมาณ แบรนด์ ลักษณะห้องเพื่อการใช้งาน (อยู่กี่คนต้องการห้องเล็กหรือใหญ่) และบริการหลังการขายครับ
2.แนะนำว่าควรเลือกคอนโดติดรถไฟฟ้าหรือ MRT เพราะว่าจะสะดวกต่อการทำงานและสามารถปล่อยขายต่อได้ง่ายครับ (หากกังวลว่าขายไม่ได้สามารถฝากทางบริษัทตัวแทนอย่าง The Agent ขายได้เช่นกัน โดยกรณีที่ขายได้ทางบริษัทตัวแทนจะคิดค่านายหน้าที่ 3% จากราคาที่ขายได้)
3.ถ้าโครงการที่คิดว่าใช่ และยังขายไม่หมดก็เดินเข้าไปสอบถามในโครงการได้เลยครับ ทางแต่ละโครงการจะมีพนักงานขายไว้บริการอยู่แล้ว
4.เลือกชั้นที่ชอบ และ unit lay out ที่ชอบมากที่สุดครับ โดยแนะนำว่าไม่ควรเลือกชั้นล่างสุดหรือชั้นที่ติดกับส่วนกลางมากจนเกินไปเพราะจะเกิดมลภาวะรบกวน
5.เมื่อเลือกเเล้ว ทางโครงการจะมีให้จอง (ส่วนใหญ่แล้วค่าจองจะอยู่ที่ 5,000 - 50,000 บาทแล้วแต่มูลค่าของแต่ละโครงการ) และอาจจะมาทำสัญญาภายใน 7 วัน (ค่าทำสัญญาจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 - 100,000 บาท แล้วแต่มูลค่าของโครงการ) บางโครงการอาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนที่จองพร้อมทำสัญญาครับ
6.หากโครงการนั้นกำลังก่อสร้างอยู่ จะต้องทำการผ่อนดาวน์ในแต่ละเดือน (ค่าผ่อนดาวน์รวมค่าจองและทำสัญญามักจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10% ของมูลค่าห้องครับ เช่น ห้องราคา 3 ล้าน ค่าผ่อนดาวน์ + จอง + สัญญาต้องรวมกันอย่างน้อย 300,000 บาทครับ)
7.หากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมโอน เมือทำจองกับสัญญาแล้วก็ไม่ต้องผ่อนดาวน์ครับ ไปกู้แบงค์ส่วนที่เหลือ หรือเลือกจ่ายเงินสดได้เลยครับ
8.บางโครงการที่ชอบมากๆและสร้างเสร็จแล้ว แต่ห้องขายหมดก็จำเป็นต้องเลือกห้องรีเซลครับ ราคาอาจจะเเพงกว่านิดหน่อย หรืออาจจะถูกกว่า(ในกรณีที่เจ้าของห้องไม่พร้อมที่จะโอนก็อาจจะขายขาดทุนครับ)
9.ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน ประกอบด้วย (บางโครงการจะมีโปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่ายครับ) ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% (แบ่งครึ่งกันระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้ซื้อ) ค่าส่วนกลางรายเดือนที่ชำระครั้งแรก 2 ปี (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากัน) ค่า Sinking Fund (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากันและเก็บแค่ครั้งเดียวครับ) ค่าพื้นที่ลด หรือเพิ่ม (บางแห่งอาจจะมีคิดเงินค่าพื้นที่เพิ่มในกรณีที่ห้องเราได้เนื้อที่เกินมาครับ)
10.ในกรณีกู้แบงค์จะต้องเสียค่าจดจำนอง 1% (แต่เดี๋ยวนี้ทางแบงค์มีโปรโมชั่นมักจะฟรีครับ)
11.ตรวจห้องเพื่อหา Defect ของห้อง และแจ้งโครงการให้มาแก้ไข เพื่อทำการโอนครับ
1.ต้องเลือกทำเลก่อนว่าสนใจแถวไหน จากนั้นจึงพิจารณาจากปัจจัยสำคัญอื่นๆ เช่น งบประมาณ แบรนด์ ลักษณะห้องเพื่อการใช้งาน (อยู่กี่คนต้องการห้องเล็กหรือใหญ่) และบริการหลังการขายครับ
2.แนะนำว่าควรเลือกคอนโดติดรถไฟฟ้าหรือ MRT เพราะว่าจะสะดวกต่อการทำงานและสามารถปล่อยขายต่อได้ง่ายครับ (หากกังวลว่าขายไม่ได้สามารถฝากทางบริษัทตัวแทนอย่าง The Agent ขายได้เช่นกัน โดยกรณีที่ขายได้ทางบริษัทตัวแทนจะคิดค่านายหน้าที่ 3% จากราคาที่ขายได้)
3.ถ้าโครงการที่คิดว่าใช่ และยังขายไม่หมดก็เดินเข้าไปสอบถามในโครงการได้เลยครับ ทางแต่ละโครงการจะมีพนักงานขายไว้บริการอยู่แล้ว
4.เลือกชั้นที่ชอบ และ unit lay out ที่ชอบมากที่สุดครับ โดยแนะนำว่าไม่ควรเลือกชั้นล่างสุดหรือชั้นที่ติดกับส่วนกลางมากจนเกินไปเพราะจะเกิดมลภาวะรบกวน
5.เมื่อเลือกเเล้ว ทางโครงการจะมีให้จอง (ส่วนใหญ่แล้วค่าจองจะอยู่ที่ 5,000 - 50,000 บาทแล้วแต่มูลค่าของแต่ละโครงการ) และอาจจะมาทำสัญญาภายใน 7 วัน (ค่าทำสัญญาจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 - 100,000 บาท แล้วแต่มูลค่าของโครงการ) บางโครงการอาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนที่จองพร้อมทำสัญญาครับ
6.หากโครงการนั้นกำลังก่อสร้างอยู่ จะต้องทำการผ่อนดาวน์ในแต่ละเดือน (ค่าผ่อนดาวน์รวมค่าจองและทำสัญญามักจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 10% ของมูลค่าห้องครับ เช่น ห้องราคา 3 ล้าน ค่าผ่อนดาวน์ + จอง + สัญญาต้องรวมกันอย่างน้อย 300,000 บาทครับ)
7.หากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ พร้อมโอน เมือทำจองกับสัญญาแล้วก็ไม่ต้องผ่อนดาวน์ครับ ไปกู้แบงค์ส่วนที่เหลือ หรือเลือกจ่ายเงินสดได้เลยครับ
8.บางโครงการที่ชอบมากๆและสร้างเสร็จแล้ว แต่ห้องขายหมดก็จำเป็นต้องเลือกห้องรีเซลครับ ราคาอาจจะเเพงกว่านิดหน่อย หรืออาจจะถูกกว่า(ในกรณีที่เจ้าของห้องไม่พร้อมที่จะโอนก็อาจจะขายขาดทุนครับ)
9.ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน ประกอบด้วย (บางโครงการจะมีโปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่ายครับ) ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% (แบ่งครึ่งกันระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้ซื้อ) ค่าส่วนกลางรายเดือนที่ชำระครั้งแรก 2 ปี (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากัน) ค่า Sinking Fund (แต่ละโครงการคิดต่อตารางเมตรไม่เท่ากันและเก็บแค่ครั้งเดียวครับ) ค่าพื้นที่ลด หรือเพิ่ม (บางแห่งอาจจะมีคิดเงินค่าพื้นที่เพิ่มในกรณีที่ห้องเราได้เนื้อที่เกินมาครับ)
10.ในกรณีกู้แบงค์จะต้องเสียค่าจดจำนอง 1% (แต่เดี๋ยวนี้ทางแบงค์มีโปรโมชั่นมักจะฟรีครับ)
11.ตรวจห้องเพื่อหา Defect ของห้อง และแจ้งโครงการให้มาแก้ไข เพื่อทำการโอนครับ